พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘
เพื่อให้เป็นไปตามกฏหมายดังกล่าว สมาชิกทุกท่านต้องอ่านทำความเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งคัด
เข้าสู่ระบบ
หน้าแรก
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ค้นหาข้อมูล
เข้าสู่ระบบ
รูปหล่อหลวงพ่อโ...
รูปหล่อหลวงพ่อโบ วัดศิลาชลเขต (วัดหิน) รุ่นแรก
จ.นครศรีธรรมราช...
รายละเอียด ประวัติของพ่อท่านโบ หลวงพ่อโบท่านเป็นอิสลามโดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีชวด ตรงกับวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2407 ณ ตำบลตะหวา รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นรัฐเดียวกับหลวงพ่อครน วัดบางแซะ เจ้าตำรับพระปิดตาบางแซะ อันลือชื่อ ซึ่งสมัยนั้นทั้งหลวงพ่อโบและหลวงพ่อครนต่างก็ถือว่าเป็นคนไทย เพราะว่ารัฐกลันตันยังอยู่ในอาณาจักรสยาม แต่มาเสียให้แก่อังกฤษภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากในสมัยเด็ก ๆ บ้านของหลวงพ่อโบอยู่ใกล้กับวัดในพระพุทธศาสนาวัดหนึ่งคือ วัดตะหวา ซึ่งวัดตะหวานี้ก็อยู่ใกล้ ๆ กับสุเหร่าอิสลามเหมือนกัน แต่จากการที่ได้เห็นวัตรปฏิบัติและความประพฤติของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเป็นที่น่าศรัทธา หลวงพ่อโบจึงเลื่อมใส ในศาสนาพุทธตั้งแต่ยังเล็ก ๆ พออายุได้ 9 ขวบ ท่านก็ได้ไปอยู่ที่วัดตะหวาเพื่อศึกษาเล่าเรียน โดยเรียนทั้งภาษาไทยและภาษามลายู ภาษาบาลีตลอดทั้งบทสวดมนต์ต่าง ๆ อยู่เป็นเวลานานหลายปี จึงยิ่งทำให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น พออายุ 21 ปี จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดกลาง โดยมีพระอธิการเล็ก วัดกลางเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการพุฒิ วัดตะหวาป็นพระกรรมวาจาจารย์ อุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดตะหวาเพื่อเล่าเรียนพระธรรมวินัยอยู่ได้ 5 พรรษาย่างเข้าพรรษาที่ 6 หลวงพ่อโบได้นั่งเรือเข้ามาศึกษาพระธรรมต่อที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่พอเรือจอดเทียบท่าที่เมืองสงขลา ชาวบ้านได้นิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่วัดท้ายน้ำ หลวงพ่อโบ จึงจำพรรษาอยู่ที่วัดท้ายน้ำ 6 เดือน พอรับกฐินแล้วจึงนั่งเรือต่อจากสงขลามายังนครศรีธรรมราช เรือได้มาจอดที่อำเภอปากพนัง ท่านจึงไปพำนักที่วัดใหม่ ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปากพนัง ท่านได้อยู่ศึกษาธรรมะและฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่วัดใหม่รวม 6 พรรษา พอย่างเข้าพรรษาที่ 13 นับแต่อุปสมบทมาหลวงพ่อโบก็ออกจาริกธุดงค์จากวัดใหม่ อำเภอปากพนังสู่เมืองนครศรีธรรมราช โดยตั้งใจว่าจะเดินธุดงค์ไปเรื่อย ๆ จนถึงกรุงเทพ เมื่อมาถึงบ้านอินทนิล ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา เมืองนครศรีธรรมราช ได้มีมีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา จึงร่วมกันสร้างวัดให้ท่านอยู่จำพรรษา หลวงพ่อโบจึงจำพรรษาที่นี้สนองศรัทธาชาวบ้านอยู่ 6 ปี ก็ออกเดินธุดงค์ต่อแต่พอมาถึงบ้านปากเจา ตำบลสระแก้ว อำเภอท่านศาลา ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่มาเท่าไร ชาวบ้านก็เลื่อมใสศรัทธาจึงนิมนต์ให้จำพรรษาที่วัดแห่งนั้นอีก ท่านพำนักอยู่ที่นี้ 2 ปี ได้ช่วยทำนุบำรุงวัดและอบรมสั่งสอนชาวบ้าน ตลอดได้สอนหนังสือไทยและหนังสือขอม จนกระทั่งชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือออกไป ทำให้พระอธิการหนู วัดชลสังขรณพิจิตร ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ได้ทราบข่าว จึงให้ผู้ใหญ่บ้านชวนชาวบ้านไปนิมนต์หลวงพ่อโบมาช่วยสอนพระธรรมวินัยและอบรมสั่งสอนชาวบ้านที่วัดชลสังขรณพิจิตร ท่านจึงมาอยู่ที่วัดชลสังขรณพิจิตรช่วยพระอธิการหนูอยู่นาน จนถึงปี พ.ศ. 2450 ชาวบ้านซึ่งอยู่ฝั่งคลองตะวันออก ซึ่งติดกับตำบลกลาย อำเภอท่าศาลา เมืองนครศรีธรรมราช ได้ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อโบ จึงชวนกันนิมนต์ท่านไปช่วย พัฒนาวัดหินออก ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่ครั้งสมัยศรีวิชัยแต่ร้างมานาน หลวงพ่อโบจึงมาพัฒนาวัดหินออกมีความเจริญขึ้นตามลำดับแต่เนื่องจากบริเวณวัดหินออกมีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่เพียง 5 หลังเท่านั้น เพราะว่าวัดได้ร้างมานานคนจึงอพยพไปอยู่อื่นเสียหมด เมื่อหลวงพ่อโบมาอยู่และได้พัฒนาวัดขึ้นและมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาแล้ว แต่เวลาบิณฑบาตรพระสงฆ์ต้องข้ามคลองไปบิณฑบาตรทางฝั่งตะวันออก ซึ่งสมัยนั้นมีบ้านเรือนชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่นกว่า ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ทางฝั่งตะวันตก และมีชื่อต่อมาว่า วัดศิลาชลเขต แล้วนิมนต์หลวงพ่อโบมาจำพรรษาที่วัดสร้างขึ้นใหม่นั้น จนถึงปี พ.ศ. 2458 หลวงพ่อโบคิดถึงญาติโยมที่อยู่เมืองกลันตัน ท่านจึงได้นั่งเรือจากท่าวัดศิลาชลเขตออกสู่ทะเลมุ่งไปเมืองกลันตัน ไปถึงแล้วก็ได้พำนักอยู่ที่วัดตะหวา พำนักที่บ้านเกิดและเยี่ยมญาติโยมพอสมควรแล้ว ท่านก็ลงเรือออกเดินทางกลับวัดศิลาชลเขตเพื่อให้ทันเข้าพรรษา พอมาถึงปากน้ำบางนราหลวงพ่อโบให้เรือแวะจอดรับหลานชายอีกคนหนึ่ง แต่พอเรือจอดทอดสมอเรียบร้อยแล้ว ได้เกิดมีลมพายุพัดขึ้นมาอย่างแรงจนพัดเอาเรือที่หลวงพ่อโบโดยสารมาร่วมกับลูกศิษย์อีก 9 คน สายสมอขาดเรือลอยออกไปในมหาสมุทรเรือต้องเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลนานหลายวัน ระหว่างนั้นหลวงพ่อโบและลูกศิษย์ต้องผจญภัยกลางทะเลและต้องพลัดพรากจากกันกับบางคน จนต้องปล่อยให้เรือลอยไปตามยถากรรม กระทั่งลอยมาถึงแผ่นดินญวนทางใต้ ชาวบ้านที่นั่นจึงนิมนต์ท่านไปพำนักที่วัดสวาย หลวงพ่อโบพำนักอยู่ที่วัดสวายเป็นเวลานาน ต่อมาท่านก็เดินทางกลับเมืองไทยทางเรือโดยมาขึ้นฝั่งที่เมืองตราด ได้พำนักที่วัดพงษ์ล้อม จังหวัดตราดอยู่ราว 1 เดือน จากนั้นก็นั่งเรือกลไฟมากรุงเทพ ได้พำนักอยู่ทีวัดทองธรรมชาติ คลองสาน ฝั่งธนบุรีก่อนแล้วก็ลงเรือกลับไปนครศรีธรรมราช มาขึ้นบกที่ปากพนังและได้เดิตทางต่อจนถึงวัดศิลาชลเขต พอชาวบ้านได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อโบกลับมาถึงวัดแล้วก็พากันมาเยี่ยม และจัดงานฉลองสมโภชน์กันถึง 3 วัน 3 คืน ปี พ.ศ. 2459 พระรัตนธัชมุนี วัดท่าโพธิ์ เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อโบเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาหลวงพ่อโบก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสมุห์ฐานานุกรม เจ้าคณะอำเภอสิชล ระหว่างนี้หลวงพ่อโบได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและพัฒนาวัดศิลาชลเขตมาโดยตลอด จนกระทั่งมรณภาพอย่างสงบเมื่อ พ.ศ. 2477 รวมอายุได้ 70 ปี 49 พรรษา หลวงพ่อโบเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติมีความประพฤติเรียบร้อย จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็นโดยทั่วไป สังเกตได้จากตอนที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ เมื่อชาวบ้านพบเห็นก็จะเลื่อมใสและนิมนต์ให้พำนักที่วัดในสถานที่แห่งนั้นอยู่เสมอ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นประจำ ท่านกระทำมาโดยตลอดตั้งแต่อุปสมบทจนมรณภาพ ขนาดที่ว่าเมื่อครั้งนั่งเรือโดนพายุต้องพลัดหลงไปพำนักถึงต่างแดน ท่านก็ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ไม่ได้ขาด นอกจากนี้ท่านยังมีความรู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ ด้วย ท่านทำตะกรุดแจกลูกศิษย์และชาวบ้านอยู่เสมอ ตอนที่ท่านไปพำนักที่วัดสวายดินแดนทางตอนใต้ของญวน หรือที่วัดพงศ์ล้อม จังหวัดตราด หลวงพ่อโบได้สร้างตะกรุดแจกชาวบ้านจนมีประสปการณ์เป็นที่เลื่องลือมาแล้ว แต่ท่านไม่เคยสร้างพระเครื่องแม่แต่รุ่นเดียว เมื่อ พ.ศ. 2501 เจ้าอาวาสวัดศิลาชลเขตในสมัยนั้น ได้ดำเนินการหล่อพระพุทธรูปเหมือนหลวงพ่อโบขนาดเท่าองค์จริง และรูปเหมือนหลวงพ่อโบขนาดเล็กขึ้น โดยทำพิธีเททองหล่อกันที่วัดสุทัศน์เสร็จแล้วก็นำกลับไปทำพิธีปลุกเสกที่วัดศิลาชลเขต จำนวนการสร้างประมาณ 10,000 องค์ โดยมีพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาซึ่งขณะนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่เป็นเจ้าพิธี ส่วนพระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมปลุกเสกก็มีพระครูกาแก้ว วัดใหญ่ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน หลวงพ่อบุญรักษ์ วัดคงคาวดี เป็นต้น หลวงพ่อโบ วัดศิลาชลเขต รุ่นแรก พิมพ์บาตรใหญ่ อุตใหญ่(นิยม)ปี2485 นับเป็นพระเครื่องตระกูลรูปหล่อโบราณที่น่าสะสมมากเนื่องจากมีพิธีเททองที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพ พระเครื่องพ่อท่านโบ วัดศิลาชลเขต ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช พุทธคุณเด่นด้านแคล้วคลาด คงกระพัน เหนียวขนาดชนวนด้านล่างที่ตัดออกจากองค์พระแล้ว นำมาทดลองยิงยังไม่ออก ทอ้งที่ห่วงสุดๆเล่ากันว่าบางบ้านห่วงยิ่งกว่าลูกสาวอีก พ่อท่านโบเป็นเกจิยุคเก่าของจังหวัดนครศรีฯ พ่อท่านคล้าย อาจารย์นำ ขุนพันธ์ ให้ความนับถือ
ผู้เข้าชม
1211 ครั้ง
ราคา
โชว์เพื่อการศึกษาครับ
สถานะ
ยังอยู่
โดย
ศักดา พระเครื่อง
ชื่อร้าน
ศักดา พระเครื่อง
ร้านค้า
sakda-rat.99wat.com
โทรศัพท์
0818982644
ไอดีไลน์
0818982644
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
ยังไม่ส่ง ข้อมูลยืนยันตัวตน
เหรียญพระครูวิสุทธิจารี พ่อท่
เหรียญรุ่นแรก พ่อท่านเคลื่อม
จักรพระนารายณ์
ล็อคเก็ตรูปพ่อท่านคล้าย
พระพิมพ์ศรีวิชัย เม็ดกระดุม อ-
เหรียญพระสีวลี วัดหน้าพระบรมธา
พระมหาว่านพระอาจารย์เอียด วัดด
พระนาคปรกพิมพิ์สองหน้า
เหรียญศาลเจ้าจีน หาดใหญ่ จังหว
เก้าสิบเก้าวัด
ร้านพระเครื่อง
กระดานสนทนา
ลงพระฟรี
สมัครสมาชิก
ติดต่อทีมงาน
ลืมรหัสผ่าน
ผู้เข้าใช้งานล่าสุด
AmuletMan
ภูมิ IR
jocho
กรัญระยอง
แมวดำ99
ep8600
บ้านพระสมเด็จ
ว.ศิลป์สยาม
Spiderman
digitalplus
chathanumaan
ก้อง วัฒนา
เปียโน
moshy2499
hopperman
บ้านพระหลักร้อย
Le29Amulet
NongBoss
Kshop
Tinnapon
fuchoo18
termboon
โกหมู
บี บุรีรัมย์
เอี่ยวเสรีไทย
tangmo
ชาวานิช
Zomlazzali
stp253
Kanamulet
ผู้เข้าชมขณะนี้ 1356 คน
เพิ่มข้อมูล
รูปหล่อหลวงพ่อโบ วัดศิลาชลเขต (วัดหิน) รุ่นแรก
ส่งข้อความ
ชื่อพระเครื่อง
รูปหล่อหลวงพ่อโบ วัดศิลาชลเขต (วัดหิน) รุ่นแรก
รายละเอียด
จ.นครศรีธรรมราช...
รายละเอียด ประวัติของพ่อท่านโบ หลวงพ่อโบท่านเป็นอิสลามโดยกำเนิด ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ ขึ้น 9 ค่ำ เดือน 12 ปีชวด ตรงกับวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2407 ณ ตำบลตะหวา รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย ซึ่งเป็นรัฐเดียวกับหลวงพ่อครน วัดบางแซะ เจ้าตำรับพระปิดตาบางแซะ อันลือชื่อ ซึ่งสมัยนั้นทั้งหลวงพ่อโบและหลวงพ่อครนต่างก็ถือว่าเป็นคนไทย เพราะว่ารัฐกลันตันยังอยู่ในอาณาจักรสยาม แต่มาเสียให้แก่อังกฤษภายหลังในสมัยรัชกาลที่ 5 เนื่องจากในสมัยเด็ก ๆ บ้านของหลวงพ่อโบอยู่ใกล้กับวัดในพระพุทธศาสนาวัดหนึ่งคือ วัดตะหวา ซึ่งวัดตะหวานี้ก็อยู่ใกล้ ๆ กับสุเหร่าอิสลามเหมือนกัน แต่จากการที่ได้เห็นวัตรปฏิบัติและความประพฤติของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเป็นที่น่าศรัทธา หลวงพ่อโบจึงเลื่อมใส ในศาสนาพุทธตั้งแต่ยังเล็ก ๆ พออายุได้ 9 ขวบ ท่านก็ได้ไปอยู่ที่วัดตะหวาเพื่อศึกษาเล่าเรียน โดยเรียนทั้งภาษาไทยและภาษามลายู ภาษาบาลีตลอดทั้งบทสวดมนต์ต่าง ๆ อยู่เป็นเวลานานหลายปี จึงยิ่งทำให้ท่านมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้น พออายุ 21 ปี จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดกลาง โดยมีพระอธิการเล็ก วัดกลางเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการพุฒิ วัดตะหวาป็นพระกรรมวาจาจารย์ อุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดตะหวาเพื่อเล่าเรียนพระธรรมวินัยอยู่ได้ 5 พรรษาย่างเข้าพรรษาที่ 6 หลวงพ่อโบได้นั่งเรือเข้ามาศึกษาพระธรรมต่อที่เมืองนครศรีธรรมราช แต่พอเรือจอดเทียบท่าที่เมืองสงขลา ชาวบ้านได้นิมนต์ท่านไปจำพรรษาที่วัดท้ายน้ำ หลวงพ่อโบ จึงจำพรรษาอยู่ที่วัดท้ายน้ำ 6 เดือน พอรับกฐินแล้วจึงนั่งเรือต่อจากสงขลามายังนครศรีธรรมราช เรือได้มาจอดที่อำเภอปากพนัง ท่านจึงไปพำนักที่วัดใหม่ ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปากพนัง ท่านได้อยู่ศึกษาธรรมะและฝึกวิปัสสนากรรมฐานที่วัดใหม่รวม 6 พรรษา พอย่างเข้าพรรษาที่ 13 นับแต่อุปสมบทมาหลวงพ่อโบก็ออกจาริกธุดงค์จากวัดใหม่ อำเภอปากพนังสู่เมืองนครศรีธรรมราช โดยตั้งใจว่าจะเดินธุดงค์ไปเรื่อย ๆ จนถึงกรุงเทพ เมื่อมาถึงบ้านอินทนิล ตำบลสระแก้ว อำเภอท่าศาลา เมืองนครศรีธรรมราช ได้มีมีชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธา จึงร่วมกันสร้างวัดให้ท่านอยู่จำพรรษา หลวงพ่อโบจึงจำพรรษาที่นี้สนองศรัทธาชาวบ้านอยู่ 6 ปี ก็ออกเดินธุดงค์ต่อแต่พอมาถึงบ้านปากเจา ตำบลสระแก้ว อำเภอท่านศาลา ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่มาเท่าไร ชาวบ้านก็เลื่อมใสศรัทธาจึงนิมนต์ให้จำพรรษาที่วัดแห่งนั้นอีก ท่านพำนักอยู่ที่นี้ 2 ปี ได้ช่วยทำนุบำรุงวัดและอบรมสั่งสอนชาวบ้าน ตลอดได้สอนหนังสือไทยและหนังสือขอม จนกระทั่งชื่อเสียงของท่านเป็นที่เลื่องลือออกไป ทำให้พระอธิการหนู วัดชลสังขรณพิจิตร ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ได้ทราบข่าว จึงให้ผู้ใหญ่บ้านชวนชาวบ้านไปนิมนต์หลวงพ่อโบมาช่วยสอนพระธรรมวินัยและอบรมสั่งสอนชาวบ้านที่วัดชลสังขรณพิจิตร ท่านจึงมาอยู่ที่วัดชลสังขรณพิจิตรช่วยพระอธิการหนูอยู่นาน จนถึงปี พ.ศ. 2450 ชาวบ้านซึ่งอยู่ฝั่งคลองตะวันออก ซึ่งติดกับตำบลกลาย อำเภอท่าศาลา เมืองนครศรีธรรมราช ได้ทราบกิตติศัพท์ของหลวงพ่อโบ จึงชวนกันนิมนต์ท่านไปช่วย พัฒนาวัดหินออก ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่ครั้งสมัยศรีวิชัยแต่ร้างมานาน หลวงพ่อโบจึงมาพัฒนาวัดหินออกมีความเจริญขึ้นตามลำดับแต่เนื่องจากบริเวณวัดหินออกมีบ้านเรือนชาวบ้านอยู่เพียง 5 หลังเท่านั้น เพราะว่าวัดได้ร้างมานานคนจึงอพยพไปอยู่อื่นเสียหมด เมื่อหลวงพ่อโบมาอยู่และได้พัฒนาวัดขึ้นและมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาแล้ว แต่เวลาบิณฑบาตรพระสงฆ์ต้องข้ามคลองไปบิณฑบาตรทางฝั่งตะวันออก ซึ่งสมัยนั้นมีบ้านเรือนชาวบ้านอาศัยอยู่หนาแน่นกว่า ชาวบ้านจึงร่วมกันสร้างวัดขึ้นใหม่ทางฝั่งตะวันตก และมีชื่อต่อมาว่า วัดศิลาชลเขต แล้วนิมนต์หลวงพ่อโบมาจำพรรษาที่วัดสร้างขึ้นใหม่นั้น จนถึงปี พ.ศ. 2458 หลวงพ่อโบคิดถึงญาติโยมที่อยู่เมืองกลันตัน ท่านจึงได้นั่งเรือจากท่าวัดศิลาชลเขตออกสู่ทะเลมุ่งไปเมืองกลันตัน ไปถึงแล้วก็ได้พำนักอยู่ที่วัดตะหวา พำนักที่บ้านเกิดและเยี่ยมญาติโยมพอสมควรแล้ว ท่านก็ลงเรือออกเดินทางกลับวัดศิลาชลเขตเพื่อให้ทันเข้าพรรษา พอมาถึงปากน้ำบางนราหลวงพ่อโบให้เรือแวะจอดรับหลานชายอีกคนหนึ่ง แต่พอเรือจอดทอดสมอเรียบร้อยแล้ว ได้เกิดมีลมพายุพัดขึ้นมาอย่างแรงจนพัดเอาเรือที่หลวงพ่อโบโดยสารมาร่วมกับลูกศิษย์อีก 9 คน สายสมอขาดเรือลอยออกไปในมหาสมุทรเรือต้องเคว้งคว้างอยู่กลางทะเลนานหลายวัน ระหว่างนั้นหลวงพ่อโบและลูกศิษย์ต้องผจญภัยกลางทะเลและต้องพลัดพรากจากกันกับบางคน จนต้องปล่อยให้เรือลอยไปตามยถากรรม กระทั่งลอยมาถึงแผ่นดินญวนทางใต้ ชาวบ้านที่นั่นจึงนิมนต์ท่านไปพำนักที่วัดสวาย หลวงพ่อโบพำนักอยู่ที่วัดสวายเป็นเวลานาน ต่อมาท่านก็เดินทางกลับเมืองไทยทางเรือโดยมาขึ้นฝั่งที่เมืองตราด ได้พำนักที่วัดพงษ์ล้อม จังหวัดตราดอยู่ราว 1 เดือน จากนั้นก็นั่งเรือกลไฟมากรุงเทพ ได้พำนักอยู่ทีวัดทองธรรมชาติ คลองสาน ฝั่งธนบุรีก่อนแล้วก็ลงเรือกลับไปนครศรีธรรมราช มาขึ้นบกที่ปากพนังและได้เดิตทางต่อจนถึงวัดศิลาชลเขต พอชาวบ้านได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อโบกลับมาถึงวัดแล้วก็พากันมาเยี่ยม และจัดงานฉลองสมโภชน์กันถึง 3 วัน 3 คืน ปี พ.ศ. 2459 พระรัตนธัชมุนี วัดท่าโพธิ์ เจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช ได้แต่งตั้งให้หลวงพ่อโบเป็นพระอุปัชฌาย์ ต่อมาหลวงพ่อโบก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสมุห์ฐานานุกรม เจ้าคณะอำเภอสิชล ระหว่างนี้หลวงพ่อโบได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาและพัฒนาวัดศิลาชลเขตมาโดยตลอด จนกระทั่งมรณภาพอย่างสงบเมื่อ พ.ศ. 2477 รวมอายุได้ 70 ปี 49 พรรษา หลวงพ่อโบเป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัดในวัตรปฏิบัติมีความประพฤติเรียบร้อย จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้พบเห็นโดยทั่วไป สังเกตได้จากตอนที่ท่านจาริกธุดงค์ไปตามที่ต่าง ๆ เมื่อชาวบ้านพบเห็นก็จะเลื่อมใสและนิมนต์ให้พำนักที่วัดในสถานที่แห่งนั้นอยู่เสมอ และปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นประจำ ท่านกระทำมาโดยตลอดตั้งแต่อุปสมบทจนมรณภาพ ขนาดที่ว่าเมื่อครั้งนั่งเรือโดนพายุต้องพลัดหลงไปพำนักถึงต่างแดน ท่านก็ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานอยู่ไม่ได้ขาด นอกจากนี้ท่านยังมีความรู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมและอักขระเลขยันต์ต่าง ๆ ด้วย ท่านทำตะกรุดแจกลูกศิษย์และชาวบ้านอยู่เสมอ ตอนที่ท่านไปพำนักที่วัดสวายดินแดนทางตอนใต้ของญวน หรือที่วัดพงศ์ล้อม จังหวัดตราด หลวงพ่อโบได้สร้างตะกรุดแจกชาวบ้านจนมีประสปการณ์เป็นที่เลื่องลือมาแล้ว แต่ท่านไม่เคยสร้างพระเครื่องแม่แต่รุ่นเดียว เมื่อ พ.ศ. 2501 เจ้าอาวาสวัดศิลาชลเขตในสมัยนั้น ได้ดำเนินการหล่อพระพุทธรูปเหมือนหลวงพ่อโบขนาดเท่าองค์จริง และรูปเหมือนหลวงพ่อโบขนาดเล็กขึ้น โดยทำพิธีเททองหล่อกันที่วัดสุทัศน์เสร็จแล้วก็นำกลับไปทำพิธีปลุกเสกที่วัดศิลาชลเขต จำนวนการสร้างประมาณ 10,000 องค์ โดยมีพระอาจารย์นำ วัดดอนศาลาซึ่งขณะนั้นยังเป็นฆราวาสอยู่เป็นเจ้าพิธี ส่วนพระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมปลุกเสกก็มีพระครูกาแก้ว วัดใหญ่ พ่อท่านคล้าย วัดสวนขัน หลวงพ่อบุญรักษ์ วัดคงคาวดี เป็นต้น หลวงพ่อโบ วัดศิลาชลเขต รุ่นแรก พิมพ์บาตรใหญ่ อุตใหญ่(นิยม)ปี2485 นับเป็นพระเครื่องตระกูลรูปหล่อโบราณที่น่าสะสมมากเนื่องจากมีพิธีเททองที่วัดสุทัศน์ฯ กรุงเทพ พระเครื่องพ่อท่านโบ วัดศิลาชลเขต ตำบลเปลี่ยน อำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราช พุทธคุณเด่นด้านแคล้วคลาด คงกระพัน เหนียวขนาดชนวนด้านล่างที่ตัดออกจากองค์พระแล้ว นำมาทดลองยิงยังไม่ออก ทอ้งที่ห่วงสุดๆเล่ากันว่าบางบ้านห่วงยิ่งกว่าลูกสาวอีก พ่อท่านโบเป็นเกจิยุคเก่าของจังหวัดนครศรีฯ พ่อท่านคล้าย อาจารย์นำ ขุนพันธ์ ให้ความนับถือ
ราคาปัจจุบัน
โชว์เพื่อการศึกษาครับ
จำนวนผู้เข้าชม
1212 ครั้ง
สถานะ
ยังอยู่
โดย
ศักดา พระเครื่อง
ชื่อร้าน
ศักดา พระเครื่อง
URL
http://www.sakda-rat.99wat.com
เบอร์โทรศัพท์
0818982644
ID LINE
0818982644
บัญชีธนาคารยืนยันตัวตน
ยังไม่ส่ง ข้อมูลยืนยันตัวตน
กำลังโหลดข้อมูล
หน้าแรกลงพระฟรี